ข้อมูลทั่วไปของแมวสฟิงซ์
พันธุ์แมวยอดนิยมที่เห็นได้ตามคาเฟ่แมวบ่อยๆก็คือ แมวสฟิงซ์หรือที่หลายคนเรียกว่าเป็นแมวไม่มีขน ซึ่งเป็นชื่อที่ได้มาจากลักษณะเด่นของสายพันธุ์ นอกจากลักษณะทางร่างกายที่ไม่มีขนหรือมีขนน้อยแล้ว นิสัยของแมวสฟิงซ์ยังเป็นอีกสิ่งที่ทำให้น้องแมวสายพันธุ์นี้ได้ใจเหล่าทาสหลาย ๆ คน เพราะสฟิงซ์เป็นแมวที่ขี้เล่น กระตือรือร้น และอยากรู้อยากเห็น ใครที่เริ่มหลงรักแมวสายพันธุ์นี้แล้ว ตามไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความนี้ พร้อมทั้งท้ายบทความทาง Yora ยังได้รวบรวมฟาร์มแมวสฟิงซ์ในไทย พร้อมราคามาฝากกันอีกด้วย
ประวัติของแมวสฟิงซ์ (Sphynx Cat)
แมวสฟิงซ์ถูกตั้งชื่อตามลักษณะของแมวสฟิงซ์แห่งยุคอียิปต์โบราณ เนื่องจากมีรูปลักษณ์สวยงามและสง่าประหนึ่งสัตว์เลี้ยงของฟาโรห์ แต่จริง ๆ แล้วแมวสฟิงซ์มีต้นกำเนิดมาจากเมืองโทรอนโต ประเทศแคนนาดา พบครั้งแรกในปี ค.ศ.1966 เกิดจากการที่เหล่าเจ้าของฟาร์มแมวที่ชื่นชอบแมวขนสั้น เลยพยายามเพาะพันธุ์แมวขนสั้นจนกลายมาเป็นแมวฟิงซ์
หลังจากนั้นแมวสฟิงซ์ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในสหรัฐอเมริกาและทำให้นักเพาะพันธุ์แมวนำสายพันธุ์ไปพัฒนาต่อจนได้ยีนที่ดีขึ้น ต่อมาก็เริ่มมีการแพร่ความนิยมเลี้ยงไปยังยุโรปที่พื้นที่อื่น ๆ มากขึ้น รวมถึงในไทยด้วย นอกจากนี้แมวสฟิงซ์ยังได้รับการขึ้นทะเบียนกับสมาคมแมวโลกหรือ Cat Fanciers Association (CFA) เมื่อปี 2002
ลักษณะนิสัยของแมวสฟิงซ์
นิสัยของแมวสฟิงซ์ค่อนข้างขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ทำให้น้องแมวดูเป็นแมวดุ แต่จริง ๆ แล้วสฟิงซ์เป็นแมวที่ค่อนข้างขี้เล่น น่ารัก มีความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น ชอบอยู่ใกล้ ๆ และเข้ามาวนเวียนกับทุก ๆ กิจกรรมที่เจ้าของทำ น้องแมวเป็นมิตรและค่อนข้างแตกต่างจากแมวสายพันธุ์อื่นตรงที่แมวสฟิงซ์ชอบอยู่กับฝูงหรือแมวตัวอื่น ทำให้สามารถเลี้ยงร่วมกับสัตว์เลี้ยงและเด็ก ๆ ได้ นอกจากนี้แมวสฟิงซ์เป็นแมวที่ไม่มีขนทำให้น้องชอบมานอนใกล้ ๆ เพื่อต้องการความอบอุ่นอีกด้วย
มาตรฐานสายพันธุ์เเละลักษณะทางร่างกายที่ดีสำหรับแมวสฟิงซ์
หากใครที่ต้องการซื้อแมวสฟิงซ์ ลักษณะเด่นของแมวสฟิงซ์ก็คือ เป็นแมวไซซ์กลางที่ไม่มีขน แต่ความเป็นจริงคือน้องแมวสฟิงซ์แต่ละตัวจะมีขนแต่มีน้อยและบางมากจนดูเหมือนไม่มีขนเลย ส่วนใหญ่จะมีขนบาง ๆ แซมที่หลังหู จมูก เท้า ถุงอัณฑะ หาง เวลาสัมผัสจะให้ความรู้สึกเหมือนผิวลูกพีช และอีกจุดเด่นคือริ้วรอยย่นของผิวบนตัวน้องแมว ที่สำคัญแม้ว่าแมวสฟิงซ์จะเป็นแมวไร้ขนแต่ก็มีสีและลายให้เลือกเหมือนแมวสายพันธุ์อื่น โดยดูได้จากเม็ดสีผิว และขนบาง ๆ ที่ขึ้นแซม เช่น สีดำ สีช็อกโกแลต สี Bi Color สีขาว สีบลู ฯลฯ
ลักษณะศีรษะจะรูปสามเหลี่ยม โหนกแก้วชัด ดวงตาขนาดใหญ่และเฉียงขึ้นไปบริเวณโคนใบหู สีทั้งสีเหลือง สีส้ม สีฟ้า และตาสองสี มีใบหูขนาดใหญ่ มีขนหูด้านใน คอยาวปานกลาง ลำตัวค่อนข้างยาว มีกล้ามเนื้อชัด ช่วงท้องกลม อกกว้าง ขาหน้ายาวปานกลางและขาหลังยาวกว่าขาหน้าเล็กน้อย หางยาวขนาดเท่า ๆ กับลำตัว เป็นลักษณะยาวเรียวเหมือนแส้ มีอายุได้ประมาณ 15 - 20 ปี
นอกจากนี้ปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์แมวสฟิงซ์ออกไปอีกอย่างน้อย 3 รูปแบบคือ แบมบิโน่ เป็แมวสฟิงซ์แบบขาสั้นหูตั้ง เอลฟ์เป็นแมวสฟิงซ์แบบขายาว หูพลิกกลับไปด้านหลัง และดเวลฟ์เป็นสฟิงซ์ขาสั้นและหูพลิกกลับ
โรคที่ต้องระวังในแมวสฟิงซ์
แม้ว่าโดยปกติแล้วแมวสฟิงซ์จะเป็นแมวที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ก็ยังมีโรคที่สามารถพบได้บ่อยในแมวสายพันธุ์นี้ คือ
Feline asthma: เป็นโรคหอบหืดในแมว ซึ่งเป็นการทำงานผิดปกติของหลอดลมและปอดเมื่อมีการสัมผัสกับสารระคายเคืองต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการหายใจมีเสียงหวีด หอบ โรคนี้จะไม่หายขาดแต่สามารถรักษาด้วยการให้กินยา ฉีดยา หรือใช้ยาพ่นได้
Sensitive Digestive Systems: โรคลำไส้แปรปรวน เป็นอีกหนึ่งโรคที่สามารถพบได้ในแมวสฟิงซ์ เกิดจากการที่อาหารไม่ย่อยหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ให่สังเกตุอุจจาระนิ่มหรือเหลว และอาการอาเจียน รวมถึงท้องป่องผิดปกติ ให้พาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจเช็ก ให้ยา และอาจมีการเปลี่ยนอาหารแบบย่อยง่ายยิ่งขึ้น
Hypertrophic Cardiomyopathy: เป็นโรคหัวใจที่เกิดจากผนังห้องหัวใจหนาผิดปกติ นอกจากเป็นโรคที่พบได้ในสฟิงซ์แล้ว ยังเป็นโรคที่พบในแมวสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ด้วย ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ แมวจะมีอาการเหนื่อยล้า อ่อนแรง สามารถส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและภาวะลิ่มเลือดอุดตันได้ หากพบว่าแมวมีอาการดังกล่าวให้พาไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป
อาหารที่เหมาะสมสำหรับแมวสฟิงซ์
การเลี้ยงแมวสฟิงซ์สามารถให้อาหารเหมือนกับแมวสายพันธุ์อื่น ๆ ได้เลย แต่จะต้องการปริมาณอาหารที่มากกว่าแมวไซซ์เดียวกันเล็กน้อย เพื่อนำไปใช่เป็นพลังงานความร้อนให้กับร่างกาย นอกจากนั้นก็สามารถให้อาหารเม็ดศูตรต่าง ๆ ตามช่วงวัย รวมถึงอาหารที่เน้นบำรุงผิวหนังก็จะช่วยให้แมวสฟิงซ์สวยสุขภาพดีมากขึ้น
อาหารลูกแมวสฟิงซ์อายุ 3 เดือนขึ้นไป
สำหรับลูกแมวที่รับมาจากฟาร์ม ส่วนใหญ่ในวัย 3 เดือนมักจะเริ่มกินอาหารเม็ดสูตรลูกแมวได้แล้ว และสลับกับการทานอาหารเปียกเป็นครั้งคราว เพื่อให้ลูกแมวสฟิงซ์กินอาหารได้มากขึ้น และช่วยในเรื่องการเจริญเติบโต ควรให้อาหาร 3 - 4 ครั้งต่อวัน เมื่อลูกแมวสฟิงซ์อายุมากขึ้น 6 - 9 เดือน สามารถเพิ่มปริมาณอาหารในแต่ละมื้อให้มากขึ้นได้ เพื่อให้แมวได้รับพลังงานที่เพียงพอ
อาหารแมวสฟิงซ์อายุ 10 เดือนขึ้นไป
เมื่อแมวสฟิงซ์อายุประมาณ 10 เดือนขึ้นไป สามารถเริ่มเปลี่ยนอาหารเม็ดจากสูตรเด็กมาเป็นสูตรแมวโตได้ โดยการให้อาหารจะอยู่ที่ 2 ครั้งต่อวัน นอกจากนี้ควรเลือกสูตรที่มีส่วนผสมในการดูแลผิวและเส้นขน เพราะสฟิงซ์เป็นแมวไม่มีขน ผิวหนังจึงสัมผัสอากาศและความร้อนโดยตรง อาหารที่ดีจึงช่วยบำรุงผิวหนังได้
อาหารแมวสฟิงซ์แก่หรืออายุ 7 ปีขึ้นไป
แมวสฟิงซ์อายุมากขึ้น ก็ต้องมีการดูแลเรื่องอาหารมากขึ้นเหมือนแมวสายพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้น ควรเลือกอาหารสูตรแมวสูงอายุ และการปรับเปลี่ยนอาหารควรเฝ่าดูอาการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพราะสฟิงซ์มีระบบทางเดินอาหารที่ไม่แข็งแรง อาจทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนได้
ที่สำคัญการให้ขนมแมวเลียกับแมวสฟิงซ์รวมถึงแมวสายพันธุ์อื่น ๆ ควรให้ในปริมาณที่พอเหมาะวันละ 1 - 2 ซองต่อตัว เพราะหากให้มากเกินไปอาจทำให้แมวเกิดโรคไตได้ในอนาคต และควรดูเรื่องน้ำดื่มที่สะอาด โดยวางน้ำพุแมวหรือถ้วยน้ำเปล่าไว้หลาย ๆ จุดในบ้าน เพื่อให้น้องแมวได้กินน้ำอย่างพอเพียง
วิธีการดูแลแมวสฟิงซ์นตั้งแต่เป็นลูกแมวจนถึงโตเต็มวัย
การดูแลลูกแมวสฟิงซ์ช่วง อายุ 1-3 เดือน
การดูแลลูกแมวสฟิงซ์ควรใส่ในเรื่องของอุณหภูมิร่างกายเป็นพิเศษ หากเลี้ยงในห้องแอร์ควรมีที่นอนอุ่น ๆ พร้อมโคมไฟให้ความอบอุ่นเป็นพิเศษ รวมถึงเลือกอาหารสูตรลูกแมวที่เหมาะสม สามารถสอบถามกับทางฟาร์มแมวก่อนได่ ว่าให้อาหารยี่ห้อไหน หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้ออาหารให้ค่อย ๆ เปลี่ยนทีละน้อย หรือหลังจากย้ายบ้านมาแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์
การดูแลแมวสฟิงซ์โตเต็มวัย อายุ 1 ปีขึ้นไป
การอาบน้ำ: แม้ว่าจะเป็นน้องแมวไม่มีขน แต่ก็ควรอาบน้ำบ่อยกว่าแมวมีขนอื่น ๆ หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เนื่องจากผิวหนังของแมวสฟิงซ์จะมีเหงื่อและไขมันมากกว่าสายพันธุ์อื่น การอาบน้ำจึงช่วยดูแลผิวและทำความสะอาดให้ผิวมีสุขภาพดีได้ จำเป็นต้องใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนต่อสัตว์เลี้ยงและน้ำอุ่นพอดี ไม่เย็นหรือร้อนเกินไป เมื่ออาบเสร็จแล้วควรเช็ดตัวให้แห้งในทันที
การทำความสะอาดหู: แมวสฟิงซ์มีใบหูขนาดใหญ่และมีขนหูน้อยหรือไม่มีเลย ดังนั้นทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปได้ง่าย จึงต้องเช็ดหูด้วยทิชชูเปียกหรือผ้าสะอาดทุกครั้งหลังอาบน้ำ ส่วนหูชั้นในให้ใช้น้ำยาเช็ดหูสำหรับแมวและคอตตอนบัดส์ขนาดเล็กเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง
การตัดเล็บ: เนื่องจากบริเวณอุ้มเท้าไม่มีขน จึงทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปติดตามเล็บได้ง่าย โดยเฉพาะสิ่งสกปรกหลังเข้ากะบะทรายแมว เจ้าของจึงต้องใช้กรรไกรตัดเล็บแมวโดยเฉพาะตัดเล็บให้น้องแมวสฟิงซ์เป็นประจำ
การดูแลสิวบริเวณผิวหนัง: ผิวของแมวสฟิงซ์เป็นส่วนที่สัมผัสกับอากาศโดยตรง ทำให้เสี่ยงต่อการอุดตันของสิ่งสกปรกบริเวณรูขุมขนและนำไปสู่การเกิดสิวหัวดำได้เช่นเดียวกับผิวคนเรา ดังนั้นจึงควรใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นเพื่อขัดผิวเป็นประจำ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพผิวหนังที่จะตามมาได้อีกด้วย
การรักษาอุณหภูมิร่างกาย: อีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับคนเลี้ยงแมวสฟิงซ์ คือการดูแลเรื่องอุณหภูมิในห้องที่เลี้ยงแมว โดยพื้นฐานแล้วแมวสฟิงซ์จะมีระบบเผาผลาญพลังงานที่ดีกว่าแมวสายพันธุ์อื่น จึงทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูง และเหงื่อออกได้ง่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นมีปัญหากับการเลี้ยงในสภาพอากาศของเมืองไทย เพียงแค่เจ้าของต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ เช่น หากเลี้ยงในห้องแอร์ ควรมีตะกร้าหรือที่นอนอุ่น ๆ ให้น้องแมวได้ซุกตัว หากเลี้ยงในอุณหภูมิห้องปกติ ก็ควรเป็นห้องที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
การดูแลฟัน: ควรแปรงฟันให้แมวสฟิงซ์ทุก ๆ สัปดาห์เช่นเดียวกับแมวสายพันธุ์อื่น เพื่อฟ้องกันคราบหินปูนและปัญหาเหงือก โดยให้ใช้แปรงและยาสีฟันสำหรับแมวโดยเฉพาะเท่านั้น
ของเล่น: นอกจากการดูแลเรื่องความสะอาดและสุขภาพร่างกายแล้ว ควรจะมีคอนโดแมว ที่ลับเล็บและของเล่นแมว เนื่องจากแมวสฟิงซ์เป็นแมวที่ขี้เล่น ฉลาด ชอบปีนป่าย เรียกได้ว่าซื้อมาไว้ได้ใช้งานคุ้มค่าแน่นอน
ไม่ควรทาครีมกันแดด: หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าเลี้ยงแมวสฟิงซ์ในไทยต้องทาครีมกันแดดด้วย แต่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องทาครีมหันแดด สามารถปล่อยให้ผิวหนังของสฟิงซ์รับแดดอ่อน ๆ ได้เพื่อสุขภาพที่ดี และเลี่ยงการสัมผัสกับแดดจัดเพื่อป้องกันผิวไหม้และอุณหภูมิที่ร้อนเกินไป
แมวสฟิงซ์สีต่าง ๆ พร้อมราคาแมวพันธุ์สฟิงซ์
แมวสฟิง์เริ่มได้รับความนิยมในไทยเมื่อไม่นานมานี้ แต่ปัจจุบันก็มีฟาร์มแมวสฟิงซ์มากมายที่เพาะพันธุ์ขาย ซึ่งราคาแมวสฟิงซ์ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งรูปร่าง สุขภาพความแข็งแรง สายเลือด ใบรับรอง โดยค่าเทอมน้องแมวสฟิงซ์เริ่มต้นที่ 25,000 - 40,000 บาทไปจนถึงหลักแสนบาทเลยก็มี ราคาเริ่มต้นของแมวสฟิงซ์แต่ละแบบก็จะต่างกัน ดังนี้
แมวสฟิงซ์ขายาว หูตั้ง ราคาเริ่มต้น 25,000 บาท
แมวสฟิงซ์ขาสั้นหูตั้ง ราคาเริ่มต้นที่ 40,000 บาท
แมวสฟิงซ์ขาสั้นหูพลิก ราคาเริ่มต้นที่ 70,000 บาท
แมวสฟิงซ์สีขาว หรือสีพื้นฐานอื่น ๆ ขาวยาว หูตั้ง ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาทขึ้นไป
แมวสฟิงซ์สีดำ ซึ่งหายากขึ้นมาหน่อย ราคาเริ่มต้น 30,000 บาทหรือแพงกว่านี้ ขึ้นอยู่กับฟอร์ม
นอกจากลัษณะพิเศษต่าง ๆ แล้ว แมวสฟิงก์ที่มีลักษณะผิวยิ่งย่นยิ่งมีราคาแพงกว่าแบบผิวเรียบอีกด้วย และหากมาพร้อมลักษณะขาสั้นหูพลิกและสีหายาก ก็จะยิ่งทำให้ราคาเริ่มต้นสูงกว่าแบบอื่น ๆ ได้
5 อันดับฟาร์มแมวสฟิงซ์ยอดนิยมในประเทศไทย
แมวไร้ขนอย่างแมวสฟิงซ์ที่เห็นครั้งแรกหลายคนอาจตกใจกับรูปลักษณ์สุดแปลกตา แต่ถ้าได้ศึกษาหรือทำความรู้จัก จะเข้าใจเลยว่าด้วยความขี้เล่นและขี้อ้อนจนเป็นที่มาของฉายา “น้องหมาในร่างแมว” ทำให้มีคนยอมทุ่มค่าเทอมแสนแพงเพื่อให้ได้เป็นทาสของน้องแมวสายพันธุ์นี้ แต่ด้วยลักษณะผิวไร้ขนทำให้เจ้าของต้องมีเวลาในการดูแลความสะอาดเป็นพิเศษ และอย่าลืมเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อให้น้องแมวสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอกนั่นเอง
EPTU Machine ETPU Moulding…
EPTU Machine ETPU Moulding…
EPTU Machine ETPU Moulding…
EPTU Machine ETPU Moulding…
EPTU Machine ETPU Moulding…
EPS Machine EPS Block…
EPS Machine EPS Block…
EPS Machine EPS Block…
AEON MINING AEON MINING
AEON MINING AEON MINING
KSD Miner KSD Miner
KSD Miner KSD Miner
BCH Miner BCH Miner
BCH Miner BCH Miner
Hi, do you have any kittens available? 0889149575