top of page
Search

หมาเป็นขี้เรื้อนทำยังไง? รู้จักโรคไรขี้เรื้อนในสุนัข อาการและการป้องกัน

Writer's picture: YORA ExpertYORA Expert


สำหรับคนที่ ที่บ้านเลี้ยงน้องหมา หนึ่งในปัญหาที่หลายคนกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องของโรคผิวหนัง โดยเฉพาะเมื่อพบว่าน้องหมาสุดที่รักเริ่มมีอาการคัน ผิวหนังแดง ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าสุนัขของคุณกำลังเผชิญกับ "โรคขี้เรื้อน" อยู่ก็ได้ หากหมาเป็นขี้เรื้อนทำยังไงดีล่ะ? วันนี้ Yora Thailand จะพาทาสหมาทั้งหลายมาเจาะลึกถึงโรคขี้เรื้อนในสุนัข เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลรักษาได้อย่างถูกวิธีกันครับ



 

โรคขี้เรื้อนคืออะไร?



โรคขี้เรื้อนในสุนัข หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า "โรคไรขี้เรื้อน" เกิดจากไรขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เข้าไปอาศัยและเจริญเติบโตอยู่ในผิวหนังของสุนัข โดยไรเหล่านี้จะกัดกินเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดการระคายเคือง คัน และเกิดปัญหาผิวหนังตามมา โรคนี้สามารถติดต่อได้ทั้งจากสุนัขสู่สุนัข และในบางกรณีอาจติดต่อถึงมนุษย์ได้ โดยโรคขี้เรื้อนจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้


1. โรคขี้เรื้อนเปียก (Demodectic Mange)

  • เกิดจากไร Demodex ที่อาศัยอยู่ตามรูขุมขนของสุนัขโดยธรรมชาติ 

  • ไร Demodex ปกติแล้วไม่ได้ทำให้เกิดโรค แต่เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขอ่อนแอ ไร Demodex จะขยายตัวมากผิดปกติจนเกิดเป็นโรคขี้เรื้อนเปียกได้

  • มักพบในลูกสุนัขหรือสุนัขที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  • ไม่ติดต่อระหว่างสุนัขด้วยกัน และไม่ติดต่อสู่คน


2. โรคขี้เรื้อนแห้ง (Sarcoptic Mange/ Scabies)

  • เกิดจากไร Sarcoptes Scabiei อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า

  • ไร Sarcoptes Scabiei สามารถสืบพันธุ์และออกไข่ ทำให้เกิดการลามได้ไวมาก  

  • มักพบได้บ่อยในสุนัขจรจัด

  • มักทำให้เกิดอาการคันรุนแรง

  • ติดต่อได้ง่ายและไวระหว่างสุนัข และสามารถติดต่อถึงคนได้จึงจำเป็นต้องดูแลอย่างเคร่งครัด



อาการของโรคขี้เรื้อนในสุนัข


การสังเกตอาการเบื้องต้นมีความสำคัญอย่างมากในการวินิจฉัยและรักษาโรคได้ทันท่วงที โดยอาการที่พบบ่อยมีดังนี้


อาการของโรคขี้เรื้อนเปียก (Demodectic Mange)


ระยะเริ่มต้น:

  • เกิดจุดแดงเล็ก ๆ หรือรอยด่างบริเวณรอบตา ปาก

  • ขนร่วงเป็นวงกลมเล็ก ๆ ผิวไม่มีสะเก็ด

  • อาการคันไม่รุนแรงเท่าขี้เรื้อนแห้ง

  • ผิวหนังอาจมีสีแดงหรือชมพู


ระยะรุนแรง:

  • ขนร่วงเป็นบริเวณกว้าง ผิวหนังเป็นมัน

  • มีเม็ด มีตุ่มหนอง

  • มีน้ำเหลืองซึมตามผิวหนัง มีกลิ่นเหม็น

  • เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

  • ผิวหนังหนาตัว เป็นปื้นสีเทาหรือน้ำตาล

  • ในกรณีรุนแรงอาจลุกลามไปทั่วตัว อาจพบอาการต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย 


ตำแหน่งที่พบบ่อย:

  • รอบดวงตา

  • บริเวณปาก

  • ขาหน้าทั้งสองข้าง

  • ลำตัวส่วนหน้า


อาการของโรคขี้เรื้อนแห้ง (Sarcoptic Mange/ Scabies)


ระยะเริ่มต้น:

  • เกิดผื่นแดงเล็ก ๆ คล้ายยุงกัด มักพบบริเวณใบหู ข้อศอก และท้อง

  • สุนัขจะแสดงอาการคันมาก เกาตลอดเวลาจนกระทั่งนอนไม่หลับ

  • ผิวหนังเริ่มมีรอยถลอกจากการเกา


ระยะรุนแรง:

  • ผิวหนังแห้งและหนาตัวขึ้น เป็นสะเก็ดสีเทาหรือเหลือง

  • ขนร่วงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะบริเวณขอบหู ข้อศอก และท้อง

  • เกิดแผลติดเชื้อแทรกซ้อนจากการเกาจนเป็นแผล

  • สุนัขมีอาการซึมเศร้า เบื่ออาหาร น้ำหนักลด


ตำแหน่งที่พบบ่อย

  • ขอบหู

  • ข้อศอก ข้อเข่า

  • ใต้ท้อง

  • บริเวณหน้าและจมูก


 


วิธีการรักษาโรคขี้เรื้อนในสุนัข


เมื่อสุนัขมีอาการขี้เรื้อน ไม่ว่าจะชนิดใดก็ตาม เจ้าของควรพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะการรักษาที่รวดเร็วจะช่วยให้หายได้เร็วและป้องกันการแพร่กระจายของโรค


  1. การวินิจฉัย สัตวแพทย์จะทำการขูดเพื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังหรือขนไปส่องกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาไรที่เป็นสาเหตุของโรค

  2. การรักษาด้วยยา สัตวแพทย์มักจะจ่ายยา เช่น ยาทา ยาหยดหลัง หรือยากินประเภทกำจัดไร รวมทั้งอาจมีการให้ยาลดอาการคันและอักเสบร่วมด้วย 

  3. การอาบน้ำรักษาโรค สัตวแพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำยาอาบน้ำที่มีสารฆ่าไรขี้เรื้อน เพื่อช่วยลดจำนวนไรและบรรเทาอาการคัน

  4. การรักษาเพิ่มเติม ในกรณีที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติมด้วย


 

การป้องกันโรคขี้เรื้อนในสุนัข


การป้องกันที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคขี้เรื้อน โดยมีวิธีการดังนี้


การดูแลสุขภาพทั่วไป

  • ให้อาหารสุนัขที่มีคุณภาพ

  • พาไปตรวจสุขภาพประจำปี

  • ดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

  • หลีกเลี่ยงความเครียด


การจัดการสภาพแวดล้อม

  • รักษาความสะอาดที่อยู่อาศัย

  • ซักทำความสะอาดที่นอนและอุปกรณ์

  • ควบคุมความชื้นในบ้าน

  • แยกอุปกรณ์ของสุนัขแต่ละตัว ในกรณีที่ที่บ้านเลี้ยงน้องหมาหลายตัว 


การเฝ้าระวัง

  • สังเกตอาการผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสุนัขที่ไม่รู้ประวัติ

  • พาไปพบสัตวแพทย์ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ


 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคขี้เรื้อนในสุนัข


Q: โรคขี้เรื้อนรักษาหายขาดไหม?

A: โรคขี้เรื้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ทั้งนี้ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและครบกำหนด


Q: ใช้เวลานานแค่ไหนในการรักษา?

A: ระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้นในกรณีที่มีอาการรุนแรง


Q: สามารถป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างไร?

A: การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำทำได้โดยการดูแลสุขภาพและสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการจัดการสภาพแวดล้อมให้สะอาด


Q: ถ้าสังเกตเห็นอาการว่าน้องหมาอาจเป็นขี้เรื้อน ซื้อยามารักษาเองได้ไหม?

A: ยาแต่ละตัวนั้นมีผลข้างเคียงและข้อคำนึงในการใช้ที่แตกต่างกัน การใช้ยาจึงต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของสัตวแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อมาใช้เองเป็นอันขาด


 

เพียงเท่านี้พ่อ ๆ แม่ ๆ ก็ได้เข้าใจวิธีรับมือหากน้องหมาเป็นขี้เรื้อน โรคขี้เรื้อนในสุนัขเป็นปัญหาที่สามารถรักษาและป้องกันได้ หากเจ้าของสังเกตอาการและพาไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การดูแลอย่างถูกวิธีและต่อเนื่องจะช่วยให้สุนัขหายจากโรคและมีสุขภาพที่ดี  อย่าลืมว่า การพบสัตวแพทย์เมื่อสงสัยว่าสุนัขเป็นโรคขี้เรื้อนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้สุนัขของคุณหายจากโรคได้เร็วขึ้น และป้องกันการแพร่กระจายของโรคไปยังสัตว์เลี้ยงตัวอื่นหรือคนในครอบครัว


นอกจากเรื่องสุขภาพของน้อง ๆ แล้ว เรื่องอาหารก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เจ้าของต้องให้ความสำคัญ ยังไงเราก็ขอฝาก Yora อาหารสุนัขเกรด Holistic นำเข้าจากประเทศอังกฤษ ซึ่งทำมาจากโปรตีนแมลง ย่อยง่าย ให้โภชนาการสูง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้น้องหมามีสุขภาพดี ผิวแข็งแรง ไว้ด้วยนะครับ



 
 
 

1 commentaire


bottom of page